บอร์ด คปภ. เห็นชอบให้นายทะเบียนสั่ง บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต แก้ไขฐานะเงินกองทุนและการดำเนินการ โดยให้บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้ว และห้ามรับประกันภัยรายใหม่จนกว่าจะสามารถดำรงเงินกองทุนได้ตามที่กฎหมายกำหนด
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ติดตามสถานะทางการเงินของบริษัท เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) อย่างใกล้ชิด พบว่า บริษัทมีเงินกองทุนต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งบริษัทได้ยื่นโครงการเพื่อแก้ไขฐานะเงินกองทุน (โครงการฯ) และนายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ตามที่บริษัทเสนอ โดยกำหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาให้บริษัทต้องปฏิบัติ
เกิดอะไรขึ้นกับ KWI ประกันชีวิต
ต่อมาในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดที่บริษัทต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้ว จำนวน 35 ล้านบาท ปรากฏว่า บริษัท ไม่สามารถดำเนินการได้ตามโครงการฯ ประกอบกับปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฐานะและการดำเนินการของบริษัท ดังนี้
(1) บริษัทได้มีการจ่ายเงินล่วงหน้าให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกันตามสัญญาค่าบริการ (Shared Services Agreement) ซึ่งมีการระบุเงื่อนไขการจ่ายเงินล่วงหน้าก่อนได้รับบริการ อันอาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 33 (7) แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 ประกอบกับบริษัทไม่สามารถแสดงที่มาของการจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวและหลักฐานการบริการได้
(2) บริษัทมีการลงทุนให้กู้ยืมเงินกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้กู้ยืมมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ นอกจากนี้บริษัทไม่สามารถแสดงหลักฐานการติดตามการใช้เงินตามวัตถุประสงค์การกู้ยืมบางราย รวมถึงไม่มีการรายงานความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมด้านสินเชื่อและผลการตรวจสอบการทำธุรกรรมด้านสินเชื่อต่อคณะกรรมการบริษัท จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามกรอบนโยบายการลงทุนและระเบียบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัท ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 12 (3) (ก) ข้อ 12 (3) (ข) และข้อ 24 ของประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิต พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(3) บริษัทได้มีการนำเงินไปวางมัดจำเพื่อจะซื้ออสังหาริมทรัพย์กับบริษัทที่เกี่ยวโยงกัน ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรรมการบริษัทตามประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง บุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรรมการของบริษัทประกันชีวิต พ.ศ. 2552 โดยมิได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการบริษัทและมิได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน อันอาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 33 (9) แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 ซึ่งกำหนดว่า บริษัทจะกระทำการซื้อหรือมีไว้ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ เว้นแต่เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบธุรกิจหรือสำหรับใช้เพื่อสวัสดิการของพนักงาน เพื่อใช้สำหรับการลงทุนประกอบธุรกิจอื่น ได้มาจากการชำระหนี้หรือมาจากการบังคับจำนอง โดยได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากนายทะเบียน และมาตรา 33 (16)
ซึ่งกำหนดว่าห้ามมิให้บริษัทกระทำการซื้อทรัพย์สินจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรรมการบริษัทตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการบริษัทและได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน
(4) บริษัทมีการเบิกเงินสดล่วงหน้า โดยไม่ปรากฏเอกสารหลักฐานที่สามารถระบุรายละเอียดวันที่ผู้รับเงินได้รับเงิน รวมทั้งชื่อและข้อมูลการแสดงตนของผู้รับเงิน อันอาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนข้อ 14 แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการรับเงิน การจ่ายเงิน การตรวจสอบ และการควบคุมภายในของบริษัทประกันชีวิต พ.ศ. 2557
คำสั่ง คปภ. KWI ประกันชีวิต
จากหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏดังกล่าวข้างต้น นายทะเบียนจึงเห็นว่า บริษัทไม่สามารถดำเนินการตามโครงการเพื่อแก้ไขฐานะเงินกองทุนที่ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน ตามมาตรา 27/7 (2) และมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน
ดังนั้น เพื่อให้การกำกับดูแลและติดตามการแก้ไขปัญหาฐานะและการดำเนินการของบริษัทเป็นไปอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งการติดตามความมั่นคงทางการเงิน รวมถึงป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ประกอบกับเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไป จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 53 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบมติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ในการประชุมครั้งที่ 11/2567 เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 นายทะเบียนด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย จึงมีคำสั่งให้บริษัทดำเนินการ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้ว พร้อมส่งเอกสารหลักฐานที่แสดงว่าบริษัทได้ชำระค่าหุ้นแล้วเสร็จ และหนังสือรับรองของบริษัทที่แสดงทุนชำระแล้ว ต่อนายทะเบียน หรือดำเนินการอื่นใด เพื่อให้บริษัทต้องดำรงไว้ซึ่งเงินกองทุนให้เป็นไปตามโครงการเพื่อแก้ไขฐานะเงินกองทุนของบริษัทที่ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน ซึ่งระบุไว้ในหนังสือที่ KWILC069/2024 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2567 ดังนี้
- เพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้ว และดำเนินการอื่นใดเพื่อให้บริษัทได้รับเงิน ไม่น้อยกว่า จำนวน 95 ล้านบาท โดยให้บริษัทดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 20 ธันวาคม 2567
- เพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้ว หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อให้บริษัทได้รับเงิน ไม่น้อยกว่า จำนวน 20 ล้านบาท โดยให้บริษัทดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568
- เพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้ว หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อให้บริษัทได้รับเงิน ไม่น้อยกว่า จำนวน 10 ล้านบาท โดยให้บริษัทดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568
- เพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้ว หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อให้บริษัทได้รับเงิน ไม่น้อยกว่า จำนวน 15 ล้านบาท โดยให้บริษัทดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568
- เพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้ว หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อให้บริษัทได้รับเงิน ไม่น้อยกว่า จำนวน 15 ล้านบาท โดยให้บริษัทดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2568
ข้อ 2 ห้ามบริษัทดำเนินการ ดังต่อไปนี้ จนกว่าจะดำรงเงินกองทุนได้ตามที่กฎหมายกำหนด
- การรับประกันภัยรายใหม่ หรือการขยายวงเงินการรับประกันภัยของกรมธรรม์ประกันภัยที่มีอยู่
- การเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัท
- การก่อภาระผูกพันเพิ่มเติม เว้นแต่เป็นการดำเนินการตามภาระผูกพันที่มีอยู่
การทำสัญญากับบุคคลใด อันส่งผลให้บริษัทมีภาระผูกพันต้องจ่ายเงิน หรือทรัพย์สินอื่นใดให้แก่บุคคลใด เป็นการก่อภาระผูกพันเพิ่มเติมของบริษัทประกันชีวิต เว้นแต่เป็นสัญญาที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายประจำเพื่อดำเนินธุรกิจตามปกติ โดยมีค่าจ้าง ค่าตอบแทน และผลประโยชน์ที่เหมาะสมตามสภาวะตลาดและเป็นปกติทางการค้า หรือสัญญาอื่นใดที่ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน ทั้งนี้ หากสัญญาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายประจำเพื่อดำเนินธุรกิจตามปกติซึ่งได้ทำกับกรรมการของบริษัทหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรรมการของบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต ให้บริษัทขอรับความเห็นชอบจากนายทะเบียนก่อนทำสัญญากับบุคคลดังกล่าว โดยต้องแสดงรายละเอียดอย่างน้อยเกี่ยวกับขอบเขตงานจ้างและค่าจ้างเพื่อประกอบการพิจารณา
- การทำสัญญาแต่งตั้งตัวแทนประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันชีวิตเพิ่มเติม
- การรับโอนกิจการของบริษัท
ข้อ 3 ห้ามบริษัทซื้อหรือมีไว้ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่เพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับประกอบธุรกิจหรือสำหรับใช้เพื่อสวัสดิการของพนักงาน เพื่อใช้สำหรับการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นได้มาเพื่อการชำระหนี้หรือมาจากการบังคับจำนอง โดยได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากนายทะเบียน และห้ามบริษัทขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์กับบุคคลใด โดยไม่ได้แจ้งต่อนายทะเบียนล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวันก่อนวันที่บริษัทขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นการขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์หรือซื้อทรัพย์สินจากกรรมการหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรรมการบริษัท ต้องได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการบริษัท และได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
ข้อ 4 ในกรณีที่บริษัทประสงค์จะจำหน่าย จ่าย หรือโอนสินทรัพย์ลงทุน ให้บริษัทแจ้งต่อนายทะเบียนล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวัน ก่อนวันที่บริษัทจะมีการจำหน่ายจ่ายโอน
ข้อ 5 ให้บริษัทจัดให้มีหน่วยงานดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายเข้าร่วมและแสดงความเห็นต่อที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท และจัดทำบันทึกการประชุมคณะกรรมการของบริษัทซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า หน่วยงานดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายพิจารณาแล้วเห็นว่าการดำเนินการของบริษัทเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต ข้อกำหนดของสำนักงานและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท
ข้อ 6 ให้บริษัทจัดทำรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามคำสั่งนี้ และนำส่งต่อนายทะเบียน ทุกเจ็ดวัน จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
สำนักงาน คปภ. จะติดตามสถานะทางการเงินและการดำเนินการของบริษัทอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บริษัทสามารถแก้ไขปัญหาฐานะและการดำเนินการได้ โดยยังคงควบคุมให้บริษัทดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน หากพบว่า บริษัทไม่ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน จะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายในระดับที่เข้มข้นยิ่งขึ้นต่อไป
สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท สำนักงาน คปภ. จะตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ หากพบว่ามีการกระทำความผิดจะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ การออกคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าวจะไม่กระทบในส่วนของความคุ้มครองและการได้รับชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัย ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่มีต่อบริษัท โดยบริษัทยังมีหน้าที่ดูแลผู้เอาประกันภัย/ประชาชนให้เป็นไปตามข้อกำหนดแห่งสัญญาประกันภัยทุกประการ
สำหรับผู้เอาประกันภัย/ประชาชนมีข้อสงสัยหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ www.oic.or.th